ยางรถยนต์ เป็นชิ้นส่วนสำคัญ เป็นชิ้นส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสพื้นถนนโดยตรง และทำให้รถเคลื่อนที่ได้อย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากคือการโดนตะปูหรือของมีคมทิ่มตำ ทำให้เกิดรอยรั่วและลมยางอ่อนลง การเลือกวิธีการปะยางที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุดและปลอดภัย ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกวิธีการปะยางที่นิยมในปัจจุบัน ข้อดี-ข้อเสีย และข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้เราหาร้านที่ซ่อมได้อยากถูกต้อง และปลอดภัย

สาเหตุหลักที่ทำให้ยางรั่ว

ส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุที่ทำให้ยางรั่วมาจากของมีคม เช่น ตะปู สกรู ลวด เศษแก้ว หรือแม้แต่ไม้เสียบลูกชิ้นที่อยู่บนพื้นถนน ทิ่มทะลุผ่านชั้นยางเข้าไปด้านใน ในกรณีที่โชคไม่ดี อาจจะทิ่มที่แก้มยาง ซึ่งเป็นจุดบอบบางที่สุดของยางรถยนต์ และไม่แนะนำให้ซ่อมบริเวณแก้มยางโดยเด็ดขาด ยกเว้นการซ่อมยาง TBR, OTR ที่มีโครงเส้นลวดในชั้นแก้มยาง ที่จะต้องทำการซ่อมแบบ Section Tires Repair เท่านั้น
วิธีปะยางรถยนต์ มีกี่แบบ?
การปะยางมีหลายวิธี แต่ที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายมีอยู่ 3 วิธีหลัก ๆ ได้แก่ การปะแบบแทงใยไหม การปะแบบสตรีม และการปะแบบดอกเห็ด
1. การปะยางแบบแทงใยไหม (แทงตัวหนอน)


วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด ช่างจะใช้เหล็กหมุนคว้านรูที่รั่วให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจะใช้ “ไหม” หรือ “ตัวหนอน” ซึ่งส่วนใหญ่ทำจากเรซินผสมใยสังเคราะห์คลุกกาว เสียบเข้าไปในรูที่รั่ว เมื่อดึงเหล็กออกมา ส่วนของไหมจะอุดรูรั่วไว้
- ข้อดี:
- รวดเร็ว: ใช้เวลาไม่นาน สามารถทำได้นอกสถานที่
- ราคาถูก: มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ
- ไม่ต้องถอดล้อ: สามารถทำได้โดยไม่ต้องถอดยางออกจากกระทะล้อ
- ข้อเสีย:
- ไม่ทนทาน: เป็นการแก้ไขแบบชั่วคราว เพราะใยไหมใช้กาวและความแน่นของรูแผลในการอุดรอยรั่วไว้เท่านั้น ใยไหมอาจหลุดออกมาระหว่างเดินทางได้ จึงไม่ควรใช้การซ่อมแบบนี้กับรถที่มีน้ำหนักเยอะ รถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง หรือรถที่วิ่งในระยะทางไกล
- ไม่เหมาะกับแผลใหญ่: เหมาะกับแผลขนาดเล็กเท่านั้น หากรูรั่วมีขนาดใหญ่ ใยไหมจะไม่สามารถอุดได้
- อาจทำให้โครงสร้างยางเสียหาย: การใช้เหล็กคว้านรู โดยที่ไม่ตัดปลายเส้นลวดที่เสียหายในแผลออก อาจทำให้มีโพรงเล็กๆระหว่างไหมกับเส้นลวดในแผลยาง ทำให้น้ำหรือความชื้นสามารถเล็ดลอดเข้าไปทำให้ลวดเหล็กด้านในเป็นสนิม ลามไปเรื่อยๆ และสุดท้ายแรงดันอากาศในยางอาจแทรกเข้าไปในชั้นยาง ทำให้ยางบวม เกิดความเสียหายได้
2. การปะยางแบบสตรีม (ปะร้อน)


วิธีนี้เป็นการซ่อมยางแบบดั้งเดิม โดยนำชิ้นส่วนยาง Cushion gum หรือคอมพาวด์ยางดิบ ไปปิดทับรูรั่วจากด้านในยาง แล้วใช้เตาเหล็กร้อนเหมือนเตารีดประกบทั้งด้านในและด้านนอกของยาง ทำให้ Cushion gum หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับแผลยางรถยนต์
- ข้อดี:
- ทนทาน: แผลที่ปะซ่อมจะมีความแข็งแรงทนทานกว่าการปะแบบแทงไหม
- ป้องกันการรั่วซ้ำ: แม้จะไม่ใช่การซ่อมยางที่สมบูรณ์ 100% แต่การปะจากด้านในจะช่วยป้องกันการรั่วซึมได้ดีกว่าแบบแทงไหม ที่ใช้เฉพาะ “กาว” เป็นตัวยึดเกาะ
- เหมาะกับแผลขนาดใหญ่: สามารถใช้ปะแผลที่มีขนาดที่ใหญ่กว่าแบบแทงไหมได้
- ข้อเสีย:
- โครงสร้างยางอาจเสียหาย: หากทำไม่ถูกวิธี และไม่มีการคำนวณความกว้างของรูบาดแผล ความหนาของชั้นยาง อุณหภูมิความร้อนและเวลาให้ถูกต้อง ความร้อนนั้นจะทำให้เส้นลวดยางบริเวณที่โดนหัวเตาเหล็กทาบนั้นเสียหาย ความแข็งแรงลดลง รวมทั้งยางบริเวณที่โดนความร้อนจะสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้กระด้างและเกิดเสียงดังเวลาขับมากกว่าที่ควรจะเป็น
- ไม่เหมาะกับยางบางประเภท: ยางแต่ละประเภท แต่ละยี่ห้อ จะมึความหนาในส่วนของหน้ายางไม่เท่ากัน มีค่าการทนความร้อนไม่เท่ากัน ซึ่งความร้อนที่มากเกินไปนี้ จะทำอันตรายกับยางโดยตรง
- ใช้เวลานาน: ขั้นตอนการปะค่อนข้างซับซ้อนและต้องใช้เวลา ตั้งแต่การวอร์มเตาปะซ่อม จนอุณหภูมิถึงจุดที่ยาง Cushion gum ละลายเต็มแผลที่ซ่อม ซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่าวิธีอื่น
3. การปะยางแบบดอกเห็ด หรือการปะแบบ PRP


วิธีนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการปะจากด้านนอกและด้านใน ช่างจะสอด “ก้านลวด” ของตัวปะดอกเห็ดเข้าไปในรูรั่วจากด้านในยาง ส่วน “หัว” ของดอกเห็ดจะอยู่ด้านในเพื่ออุดรูรั่วให้สนิท
- ข้อดี:
- ทนทานสูง: เป็นการซ่อมยางที่ทนทานที่สุดในบรรดาวิธีทั้งหมดที่กล่าวมา
- ป้องกันการรั่วซึมได้ดีเยี่ยม: ป้องกันการรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งจากด้านนอกและด้านใน น้ำและความชื้นไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในชั้นยางได้
- ไม่ใช้ความร้อน: ไม่ทำให้โครงสร้างยางเสียหายจากความร้อน
- ข้อเสีย:
- ราคาแพง: มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีอื่น ๆ
- ต้องถอดยาง: ต้องถอดยางออกจากกระทะล้อเพื่อทำการปะ
ข้อควรระวังสำหรับช่างยางและคำแนะนำเพิ่มเติม
- ตรวจสอบแผล: ก่อนปะยาง ควรตรวจสอบขนาดและตำแหน่งของแผลให้ดี หากแผลอยู่บนแก้มยางหรือมีขนาดใหญ่เกินไป ควรพิจารณาเปลี่ยนยางเส้นใหม่เพื่อความปลอดภัย
- เลือกวิธีที่เหมาะสม: หากแผลเล็กและรีบใช้รถ การปะแบบแทงใยไหมอาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากต้องการความทนทานในระยะยาว ควรเลือกการปะแบบสตรีมหรือดอกเห็ด
- ปรึกษาช่างผู้ชำนาญ: การปะยางที่ถูกต้องและปลอดภัยควรทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
- ดูแลลมยางสม่ำเสมอ: ควรตรวจสอบและเติมลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ปะยาง 1 แผล ใช้เงินกี่บาท?
วิธีปะยาง | ราคาปะยางรถยนต์โดยเฉลี่ย |
---|---|
1.การปะยางแบบแทงใยไหม (แทงตัวหนอน) | 70 – 100 บาท |
2.การปะยางแบบสตรีม (ปะร้อน) | 150 – 300 บาท |
3.การปะยางแบบดอกเห็ด หรือการปะแบบ PRP | 300 – 450 บาท สำหรับรถ passenger ทั่วไป (สำหรับยางขอบใหญ่กว่า 17″, ยาง Run on flat, ยางรถEV จะมีราคาสูงกว่า ซึ่งจะซ่อมโดยช่างยางที่ได้รับการอบรมมาแล้ว มีราคาตามความยากง่ายของการแผลที่ซ่อม) |
ใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก TECH ที่มีเทคโนโลยี Gray Gum ลิขสิทธิ์เฉพาะเพื่อคืนสมรรถภาพยางที่ซ่อมให้เหมือนเดิม ก่อนที่จะโดนตะปูตำทุกประการ
สนใจสินค้า TECH แท้ หรือนัดอบรมฟรี
เว็บไซต์: https://468automate.com
Facebook: https://www.facebook.com/share/12Gjkrn5Lir/
YouTube: https://youtube.com/@468Automate?si=hJAy1pjGuLpdLzCj
LINE ID: https://line.me/ti/p/ha28h6pKBU
อีเมล: 468automate@gmail.com
สายด่วน: 093 146 4941
อย่าลืมกด Like | Share | Subscribe
เพื่อไม่พลาดความรู้ดีๆ และคลิปใหม่ๆจาก ช่อง 468AUTOMATE